กัลปังหา
กัลปังหา
จัดว่าเป็นสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลัง ที่มีขนาดตัวเล็ก
ลักษณะคล้ายกับทรงกระบอกหรือรูปถ้วยและอยู่ในจำพวกปะการังและชอบอาศัยอยู่ในกระแสน้ำไหลเพราะจะช่วยให้เจริญอาหารเติบโตได้ดี
ลักษระของกัลปังหาจะมีส่วนคล้ายกับดอกไม้ทะเลขนาดเล็ก มีเนื้ออ่อนนุ่ม
ทั้งนี้จะมีหนวดรอบปากจำนวน 8 เส้น ฝังกระจายอยู่ตามโครงสร้าง
รวมถึงมีบางส่วนที่จะเป็นกิ่งแตกก้านคล้ายกับพัดปละคล้ายกับซี่ของหวี
- Corallinaceae เป็นวงศ์หนึ่งของกัลปังหา โดยเป็นสาหร่ายแดง อาศั้ยอยู่ในน้ำทะเลลึก แต่ละปีจะมีการเติบโตที่น้อยมาก หากแหล่งน้ำบริเวณนั้นสมบูรณ์จะเติบโตได้ดี
- Hapalidiaceae เป็นลักษณะคล้ายกับดอกไม้ที่มีแผ่นเหมือนกับกลีบดอกไม้ที่ซ่อนตัวอยู่ตามโขดหิน มีสีสันสดใสที่ช่วยให้ท้องทะเลมีความสวยงามยิ่งขึ้น
- Sporolithaceae เป็นลักษณะเหมือนกับมอสที่เกาะอยู่ที่โขดหิน และมีสีสันคอยรอรับอาหารจากการพัดพาของน้ำทะเล และเป็นแหล่งอาหารให้กับปลาตัวเล็ก ๆ ได้ดี
- กัลปังหาสายพันธุ์เมลิเทีย เป็นลักษณะคล้ายกับขแผงสนที่มีกิ่งก้านโดยมีหลายสี ทั้ง แดง ส้ม ชมพู โดยอยู่ในระดับน้ำลึกประมาณ 5 เมตร และเป็นสายพันที่ได้รับการฟื้นฟูมากขึ้นและถูกวิจัยนำมาปลูกในทะเลมากขึ้น เพื่อให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์เล็ก
สำหรับการสืบพันธุ์จะสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศซึ่งจะเป็นแบบการแตกหน่อหรือการแยกออกจากัน ซึ่งกัลปังหาจะมีเซลสืบพันธุ์เพียงเพศหนึ่งเพศใดเท่านั้น
และประโยชน์ของกัลปังหาจะมีประโยชน์มากมายถือว่าเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยให้กับสัตว์ในทะเลที่มีขนาดเล็ก
จึงทำให้เกิดความเข้าใจกันแบบผิด ๆ
เลือกนำกัลปังหานำมาประดับตกแต่งตู้ปลาคิดว่ามันเป็นพืชจึงทำให้เกิดผลเสียต่อระบบนิเวศทางธรรมชาติถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง
เสี่ยงต่อการทำให้เกิดการสูญพันธุ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
ส่วนอีกหนึ่งความเชื่อที่คิดว่ามีสรรพคุณในด้านการรักษาโรคตามความเชื่อของชาวจีนซึ่งเป็นความเชื่อในแบบที่ผิดอีกเช่นกันเพราะไม่มีสรรพคุณทางด้านการรักษาหรือการบำรุงร่างกายแน่นอน
กัลปังหาถือว่าเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองที่ห้ามมีไว้ครอบครองหรือเพื่อทำทการค้าขายยกเว้นในด้านการวิจัย
เพราะการเจริญเติบโตที่ค่อนข้างช้ามากบางชนิดอาจมีการเติบโตเพียงแค่ 1 ฟุต ดังนั้นการลักลอบขายกัลปังหาถือว่าเป็นความผิดทางด้านกฎหมาย
ถือว่าเป็นความเสี่ยงและเป็นต้นเหตุที่ทำให้ระบบนิเวศท้องทะเลเสียหายและชำรุด
ส่งผลให้สัตว์น้อยใหญ่ใต้ทะเลได้รับผลกระทบอย่างมาก
จึงทำให้มีการวิจัยเร่งฟื้นฟูมากขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น